วันที่ 1 เมษายน 2561 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวฝากถึงพี่น้องเพื่อนข้าราชการ เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ว่า วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ถือเป็นวันข้าราชการพลเรือน ที่ทั้งข้าราชการประจำ และข้าราชการบำนาญอย่างข้าพเจ้าจะยึดมั่นในใจมาโดยตลอดชีวิตการทำงาน มองว่าเป็นวันสำคัญของผู้เป็นข้าราชการของแผ่นดินทุกคน หลายส่วนราชการถือเป็นวันพระราชทานกำเนิดหน่วยงาน โดยย้อนรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
กล่าวได้ว่า เป็นวันสำคัญของเหล่าข้าราชการของทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ประการแรกด้วยสาเหตุของความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนปีพุทธศักราช 2471 ซึ่งเป็นการจัดระเบียบข้าราชการฝ่ายพลเรือนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472 วันนี้จึงถือเป็นวันข้าราชการพลเรือนนับแต่นั้นมา อีกทั้งเป็นรากฐานการพัฒนาของทุกภาคส่วนราชการสู่ความเจริญก้าวหน้าในเวลาต่อมา
ประการสำคัญที่สุด ที่ผู้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าในอดีตได้พร่ำเพียรสอนเราทุกคนตั้งแต่แรกเริ่มต้นเข้ารับราชการ กับอีกท่านยังได้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่มีอยู่จริงให้ข้าราชการได้แลเห็น เกิดความสำนึก มีความเชื่อมั่นศรัทธา และปฏิบัติตาม ได้แก่ :
ความมีวิริยภาพในการดำเนินชีวิตทั้งส่วนตัวและหน้าที่ราชการในสิ่งที่เป็นความถูกต้องตามกฎหมายและจารีตประเพณีอันดีงามของชาติ ยึดหลักสุจริตธรรม เสียสละ อดทน ฝึกฝนหลักวิชาการและจรรยาวิชาชีพ ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนปรนตามอิทธิพลหรือการใช้อำนาจของผู้ใดอย่างปราศจากความถูกต้อง
ข้าราชการมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นหัวใจของการครองตน มีความรับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นทั้งฝ่ายข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองต้องควบคุมดูแลระบบงานให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ขยันหมั่นฝึกฝนการปฏิบัติหลักคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปกับหลักวิชาการเฉพาะด้าน หาใช่ปัดความรับผิดชอบให้กับผู้น้อยเมื่อเผชิญต่อความผิด
ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมา ไม่เล่นละครกับใครผู้ใดที่เป็นความไม่จริงใจ เช่น คบใครเพื่อผลประโยชน์ พอหมดประโยชน์ที่พึงได้รับ ก็เลิกคบเลิกรู้จัก เช่นนี้เขาเรียกว่าจอมปลอม ข้าราชการเป็นผู้มีขันติธรรม ไม่นำเรื่องส่วนตัว วงศาคณาญาติ พวกพ้อง มายุ่งเกี่ยวกับหน้าที่ราชการเป็นอันขาด แต่มีความรับผิดชอบในภาระหน้าที่ต่อองค์กร และประโยชน์สุขของแผ่นดินเป็นสำคัญ
ระบบราชการมีความโปร่งใส ตรงตามหลักธรรมาภิบาล การตรวจสอบได้และติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการในแต่ละเรื่อง ปรับปรุงระบบการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผล และการบริหารเวลา เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์อันดีแก่องค์กรและระบบราชการ
องค์ประกอบอีกประการหนึ่งที่มีความสำคัญมากของระบบราชการ คือ ความเป็นสุภาพชนของผู้ปฏิบัติงานราชการ มีความซื่อตรง จริงใจ ภูมิใจในฐานะที่ตนเป็นข้าต่างพระเนตรพระกรรณ มีความเมตตากรุณา ระบบราชการไม่มีการเลือกปฏิบัติ ที่เรียกว่า การให้บริการทุกระดับชั้นด้วยความเสมอภาคและสุขใจ ข้าราชการไม่รับสิ่งตอบแทนใดๆ จากผู้มาขอใช้บริการ หากแต่จะแสดงออกถึงความมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อกัน ความมีเมตตาอารี และความเป็นผู้มีน้ำใจไมตรี
เป้าหมายของงานราชการ คือ การบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน การเป็นแบบอย่างและเสริมสร้างความอบอุ่นใจแก่สังคม หาใช่ฝักใฝ่ทางการเมืองกระทั่งกลับกลายเป็นความแตกแยกหรือแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่หวังได้ดีมีความชอบด้วยการประจบประแจงเอาใจอย่างผิดๆ ไม่กระทำโดยเด็ดขาดในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎระเบียบและจารีตประเพณี ผู้บังคับบัญชามีไว้เพื่อให้คำปรึกษา เป็นครู อันก่อให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติราชการ ได้แก่ การทำงานให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ไม่ผิดพลาด ไม่ชักช้าหรือผัดวันประกันพรุ่ง ข้าราชการมุ่งมั่นทำงานให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี เป็นศรีสง่าแก่สถาบันข้าราชการและส่วนรวมคือประเทศไทย
วันเวลาผ่านมาแล้วผ่านไปไม่หวนกลับ ไม่มีคำว่าผู้ใดยั่งยืนอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีคำว่าชั่วนิรันดร์ มีเพียงความดีงามเท่านั้น ของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแก่ประเทศชาติบ้านเมือง จะสถิตเสถียรอยู่ในความทรงจำกับอีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ยั่งยืนแก่พี่น้องเพื่อนข้าราชการทุกหมู่เหล่าสืบไป
แฟ้มภาพ : เหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2553 เวลา 10.00 น. ที่หอประชุมอำเภอเมืองเชียงใหม่ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางมาตรวจเยี่ยม พบปะและมอบนโยบายให้แก่ข้าราชการ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร-ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีนายอดิศร กำเนิดศิริ นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผวจ.เชียงใหม่ขณะนั้น กล่าวพบปะความตอนหนึ่งว่า ผมจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อชาวเชียงใหม่ตราบจนวันสุดท้ายของการทำงานที่จะมาถึง วันนี้เยาวชนเชียงใหม่ไม่ค่อยใส่ใจกับความเป็นมาของเชียงใหม่ ไม่รู้ว่าจะโทษหน่วยงานไหนดี เด็กนักเรียนมัธยมในพื้นที่อำเภอเมืองบางคนถึงกับเอ่ยปากไม่อยากอู้กำเมือง บอกว่าเชย ท่านต้องช่วยกันบอก หากเรายังไม่ภูมิใจในท้องถิ่นอนาคตจะไปภูมิใจนความเป็นชาติได้อย่างไร