กรมการขนส่งทางบก คิกออฟ!!! มาตรการสแกนเข้ม รถโดยสารสาธารณะทุกคัน พนักงานขับรถทุกคน ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมรองรับ ก่อนการเดินทางเทศกาลสงกรานต์ 2561 ย้ำ!!! ดำเนินการจริงจัง เด็ดขาด และลงโทษทันที ทั้งพนักงานขับรถ ผู้ประจำรถ และผู้ประกอบการ
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก เตรียมความพร้อมรองรับก่อนการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 ภายใต้แนวคิด “Safe Drive Save Lives ปลอดภัยทุกชีวิต ขับรถเป็นมิตรผู้ร่วมทาง”ขานรับนโยบายกระทรวงคมนาคมที่กำหนดมาตรการเข้มข้น 777 ยกกำลัง 3 แบ่งเป็น 7 วันก่อนเทศกาล วันที่ 4-10 เมษายน 2561, 7 วัน ระหว่างเทศกาล วันที่ 11-17 เมษายน 2561 และ 7 วันหลังเทศกาล วันที่ 18-24 เมษายน 2561 โดยตั้งเป้าหมายลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุลดจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และต้องไม่มีผู้เสียชีวิตจากระบบขนส่งสาธารณะ พนักงานขับรถต้องมีระดับแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ทุกคน
โดยกรมการขนส่งทางบก ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ณ สถานประกอบการในช่วงก่อนเทศกาล เพื่อกระตุ้นเตือนให้ผู้ประกอบการและพนักงานขับรถปฏิบัติตามกฎว่าด้วยความปลอดภัย และให้คำแนะเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้โดยสาร รวมถึงการแนะนำอุปกรณ์ช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน และแจ้งผู้ประกอบการและผู้ประจำรถถึงบทลงโทษขั้นสูงสุดในแต่ละฐานความผิดด้วย
ทั้งนี้ในช่วงเตรียมความพร้อมก่อนเทศกาล ระหว่างวันที่ 19–25 มีนาคม 2561 กรมการขนส่งทางบกกำหนดเริ่มมาตรการสแกนรถโดยสารเข้มข้น ตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะและคนขับรถ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดจอดรถ 212 แห่งทั่วประเทศ ตามมาตรฐานความปลอดภัย (Checklist) ที่กรมฯกำหนด กว่า 20 รายการ เช่น ระบบเบรก ยาง ล้อ เข็มขัดนิรภัย ประตูรถ ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจกฯลฯ หากพบรถโดยสารไม่ปลอดภัย ไม่พร้อมใช้งาน พ่นข้อความ“ห้ามใช้”และต้องนำรถเข้าตรวจสภาพหลังดำเนินการแก้ไขแล้ว
กรณีพบพนักงานขับรถมีสภาพไม่พร้อมหรือพบการกระทำความผิดดำเนินการลงโทษขั้นสูงสุด ทั้งปรับ พักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถและ “สั่งห้ามปฏิบัติหน้าที่” โดยผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนรถคันใหม่และพนักงานขับรถที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่แทนทันทีเพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง ทั้งนี้จะเพิ่มระดับการกำกับดูแลรถโดยสารสาธารณะให้มีความเข้มข้นสูงสุดในทุกมิติ ในช่วงเข้มข้น 777 ยกกำลัง 3 โดยหากพบการกระทำผิดในช่วงระหว่างเทศกาล และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ดำเนินเนินการเปลี่ยนรถและคนขับพร้อมลงโทษสูงสุดทุกกรณีความผิด
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากรถโดยสารสาธารณะทุกคันต้องผ่านการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ส่วนควบแล้ว ยังต้องได้รับการตรวจการติดตั้ง GPS Tracking และการเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ของกรมการขนส่งทางบกด้วย เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการขนส่งสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพฤติกรรมการขับขี่ของพนักงานขับรถแบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่น “DLT GPS” แบบ 360 องศา พร้อมทั้งจัดหน่วยเคลื่อนที่ออกตรวจจับความเร็วรถโดยสารสาธารณะด้วยกล้องเลเซอร์ในเส้นทางสายหลักเข้า–ออกกรุงเทพมหานคร และตรวจสอบความปลอดภัยของรถโดยสารเช่าเหมา(รถโดยสารไม่ประจำทาง) ระหว่างทางบนเส้นทางหลักใน 11 จังหวัด 14 แห่ง และจุดตรวจ Checkpoint อีก 5 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 16 จังหวัด 19 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้กำชับสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่งจัดเตรียมรถโดยสารประจำทางและรถโดยสารไม่ประจำทางเสริมในเส้นทางให้เพียงพอกับความต้องการเดินทางของประชาชนทั้งเที่ยวไป-เที่ยวกลับ รวมถึงการตรวจตราความปลอดภัยภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อป้องกันมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาฉวยโอกาส เพิ่มจำนวนพนักงานประจำศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องเรียน ซึ่งพร้อมให้บริการทุกช่องทางการสื่อสาร หากพบปัญหาจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ แจ้งสายด่วน โทร 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด